วิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็ว แต่เรื่องนี้ธนาคารไม่อยากให้รู้ แถมได้เงิน ช่วยลดดอกไปได้เยอะเลย

วิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็ว แถมได้เงิน ธนาคารไม่อยากให้รู้

 

หลายคนคงรู้วิธีการนี้อยู่แล้ว แต่ในวันนี้ผมขออนุญาตแชร์ให้ผู้กับผู้ที่ยังไม่รู้นะครับ ลองสละเวลาสัก 5 นาทีจะสามารถประหยัดเงินคุณได้อีกหลายแสนเลย สิ่งที่ผมแชร์ในวันนี้ เป็นประสบการณ์ตรงจากที่ผมนั้นได้พบมา พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ของผมหลายๆ คนที่บ้านนอกเขาไม่เคยรู้เรื่องเลยว่ามันทำได้

 

 

แต่คนในเมืองส่วนใหญ่แล้วจะรู้กัน ตัวผมเองและคนบ้านนอกก็ได้แต่ก้มหน้าผ่อนเงินธนาคารไปตามสเต็ปที่เขาได้กำหนดไว้ ผมรู้สึกว่าคนที่บ้านของผมเหนื่อยมาก ที่จะต้องหาเงินมาผ่อนให้กับธนาคารยังไม่รู้จบ

แต่ในวันนี้ผมมีประสบการณ์ตรงที่อยากจะมาบอกสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ครับ

1. สิ่งแรกที่เราจะต้องรู้นั่นก็คือ ผ่อนให้หมดไว นั่นคือการรู้จักขอลดดอกเบี้ย

2. เราจะได้เงินคืนในบางส่วน นั่นก็คือเงินประกัน ที่หลายคนมักจะถูกบังคับให้ทำตอนกู้เงินนะครับ ซึ่งหลายธนาคารมักจะอ้างว่า จะได้อนุมัติผ่านง่ายถ้าหากได้ทำประกัน

(เชื่อว่าหลายคนอาจจะมีวิธีการพูดที่ไม่ต้องทำตั้งแต่แรก แต่อันนี้สำหรับคนที่โดนไปแล้วนะครับ)

1. ปกติสัญญามักจะบอกว่าห้ามปิด (โปะหนี้) ก่อน3 ปี

จริงๆ แล้วเราสามารถใช้ช่องโหว่ตรงนี้มาเพื่อลดดอกเบี้ยกับธนาคารได้ โดยการที่เราบอกว่าขอลดดอกเบี้ย หลังจากที่เราผ่อนครบ 3 ปี แต่ถ้าไม่ได้เราจะมีแผนว่าจะรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารอื่น ตรงนี้หมายความว่าเราจะให้ธนาคารอื่นมาโปะหนี้กับธนาคารเดิม แล้วเราก็ไปเป็นหนี้กับธนาคารอื่นแทน

บอกเลยว่าถ้าเราบอกแบบนี้กับธนาคารไปแล้วนั้น ธนาคารจะพยายามคุยกับเรามากกว่าเดิม เขาจะพยายามรักษาลูกหนี้เอาไว้โดยการให้ retention

รีเทนชั่น นั่นก็คือการลดดอกเบี้ยให้ (ตรงนี้จำให้แม่น)

วิธีการ

ไปติดต่อที่สาขา ที่คุณกู้ เพื่อเจรจาขอลดดอกเบี้ย โดยวิธีการคุยให้คุณได้เปรียบคือ ขอลดดอกเบี้ยดื้อๆ เลยครับ โดยให้เหตุผลแค่ว่า เพราะเราเป็นลูกค้าชั้นดี ไม่เคยมีประวัติชำระไม่ตรง และตอนนี้ผ่อนมาครบ 3 ปีแล้ว อยากขอลดดอกเบี้ย ถ้าไม่ได้จะตั้งใจว่าจะรีไฟแนนท์ เพราะไปเช็คดอกเบี้ย โฮมโลนสำหรับลูกค้าใหม่มาแล้ว 4-5 ธนาคาร แล้วดอกถูกกว่าที่จ่ายอยู่

จากนั้นพนักงานอาจจะถามคุณว่าสนใจที่ไหนอยู่ คุณก็แกล้งบอกไปซัก 1 ธนาคาร ที่ดอกต่ำที่สุดในกระดาษที่คุณจดมา (แต่คุณต้องเช็คแล้วเขียนใส่กระดาษไปเลย ว่าดอกเบี้ยแต่ละธนาคารเท่าไหร่ 4-5 ที่ อย่างที่บอกจริงๆ ย้ำว่าต้องเช็คไปจริงๆ เพราะคุณจะต่อรองได้มาก ธนาคารจะรู้เรตของธนาคารอื่นอยู่แล้ว แค่แกล้งถามให้รู้ว่าคุณเช็คมาจริง คุณเอาจริง)

จากนั้นธนาคารเค้าจะออฟเฟอร์ดอกเบี้ยใหม่ให้คุณ ซึ่งก็ยังแพงกว่าของธนาคารที่คุณแจ้งไปเล็กน้อย (เพราะเค้ารู้ว่า ถ้าคุณรีไฟแนนท์ คุณก็ต้องมีค่าใช้จ่าย และบางคนก็มองว่ายุ่งยาก ดอกเบี้ยลดให้แล้ว แต่ยังแพงกว่าหน่อย ลูกค้าส่วนใหญ่ก็โอเค ซื้อความสะดวก) พอคุณได้ดอกเบี้ยใหม่ คุณก็ถามเค้าได้เลยว่า ดอกเบี้ยใหม่ เริ่มคิดให้ตั้งแต่เดือนไหน (ผมกำลังหมายความว่า คุณสามารถไปติดต่อก่อนครบ 3 ปี ล่วงหน้าซัก 1-2 เดือนได้เลย)

อันนี้สำคัญมากๆ

ปล. ดอกเบี้ยของธนาคารอื่น 4-5 ธนาคารที่ผมให้เช็คและจดไปว่าที่ไหนต่ำสุด ให้คุณคำนวณว่าในระยะเวลาอีก 3 ปีที่จะผ่อนข้างหน้าต่ำสุด ไม่ใช่ดูแค่ว่า 0% 3 เดือนแรก จากนั้น แพง ให้คำนวณดูที่ 3 ปี เพราะหลังจากนั้นทุกๆ 3 ปี คุณก็ใช้ช่องโหว่เดิมมาขอลดดอกเบี้ยได้อีก (จึงแนะนำให้ดูที่ 3 ปี) ทั้งนี้ทั้งนั้น ยอดหนี้ต้องเกิน 1 ล้านบาทตอนไปขอลดดอกเบี้ย (แล้วแต่ธนาคาร)

บางธนาคารก็ดูท่าทีเรานะครับ เพื่อประเมินว่าควรให้ดอกเบี้ยใหม่เท่าไหร่ ถ้าไม่รู้อะไรไปเลยก็จะได้ลดไม่เยอะ เพื่อนผมเคยเจอแบบว่า พอพูดว่าจะรีไฟแนนท์ เค้าเช็คดูว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตหรือป่าว จนเพื่อนผมต้องบอกว่า หนี้บัตรตั้งใจปิดก่อนรีไฟแนนท์อยู่แล้ว

เพราะรู้ว่าต้องใช้ในการพิจารณ์สินเชื่อบ้าน ยังไงก็จะปิดอยู่แล้ว เลยได้ลดดอกเบี้ยมาครับ ถ้าเค้ารู้ว่าเราไม่มีทางเลือกเป็นหนี้บัตรเครดิต อาจจะยากในการขอสินเชื่อจากธนาคารใหม่ ธนาคารก็อาจจะดึงเกมส์โดยไม่ลดให้ หรือลดให้ไม่มาก เพราะรู้ว่าที่จริงแล้วเราไม่มีทางเลือกน่ะครับ

ทางที่ดี ก่อนไปต่อรอง ควรชำระบัตรให้หมด หรืออย่างน้อยให้บัตรเครดิตของธนาคารนั้นเป็น 0 ไปรวมหนี้ไว้ที่บัตรของธนาคารอื่นก่อน

2. ได้รับเงินคืน เมื่อผ่อนหมด

กรณีถ้าคุณโดนบังคับทำประกันพร้อมกู้ซื้อบ้าน และคุณได้ทำสัญญากู้บ้านเช่น ทำสัญญากู้บ้าน 30 ปี แต่คุณผ่อนจริง 17 ปีหมด คุณสามารถติดต่อขอเคลมเงินประกันคืน โดยคุณให้เหตุผลกับธนาคารว่า คุณได้คุ้มครองแค่ 17 ปี ที่เหลืออีก 13 ปีไม่ได้มีการคุ้มครอง เพราะผ่อนบ้านหมดแล้ว ดังนั้นจึงขอเคลม 13 ปีที่ไม่ได้คุ้มครองคืนเป็นเงิน

ทั้งนี้เงินที่ขอเคลมคืนอาจจะไม่ได้มากนะครับ อาจจะไม่กี่หมื่น สอบถามธนาคารได้เลยว่าได้คืนเท่าไหร่ และธนาคารอาจจะยื่นข้อเสนอว่าถ้าไม่รับคืนก็จะคุ้มครองต่อ (ซึ่งการคุ้มครองมักจะเป็นได้เงิน ถ้าเราลาโลกไปก่อน ส่วนใหญ่ธนาคารจะทำประกันแบบนี้ให้ เพราะเค้ากลัวว่าเราไปสวรรค์ก่อนผ่อนบ้านหมด ซึ่งผู้ที่ได้ก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นผู้รับประโยชน์ในสัญญากรมธรรม์ )

ซึ่งถ้าเราให้เค้าคุ้มครองต่อ เราก็แจ้งชื่อผู้รับประโยชน์ใหม่ไปได้เลย เพราะผู้รับประโยชน์เก่าในกรรมธรรม์ก่อนที่เราจะปิดบ้านหมด คือธนาคาร ดังนั้นคุณสามารถลองชั่งน้ำหนักดูได้ว่า จะเคลมเอาเงินคืน หรือให้เค้าคุ้มครองต่อไปทั้งหมดนี้เป็น 2 ข้อง่ายๆ ที่ผมได้จากประสบการณ์ตัวเอง ประหยัดเงินไปได้หลายแสน

ใส่ความเห็น